" ว่ามา " ลุงมองมาที่ผมแล้วพูด แทนที่จะตอบ ผมหยิบเอาหนังสือพิมพ์ขึ้นมา
" ลุงอ่านไปด้วย ฟังผมไปด้วยนะครับ เพราะมันจะเป็นคำขอที่ยาวมาก " ผมพูด
" ว่ามา " ลุงพูดต่อแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์
" ข้อแรกนะครับ..
...ผมขอต้นทุน เอา..เอาซักประมาณ10...เออ แค่5ล้านเหรียญก็น่าจะพอ ส่วนข้อที่สอง ผมขอคนไทยสี่คนมาช่วยผมสร้างสวนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ คนแรก ผมขออาจารย์วิบูรณ์ คนไทยที่ไปฝึกฝีมือกับทาดาโอะ อันโด ที่ญี่ปุ่นมา7 ปีอะไรนั้น ผมอยากให้แกมาช่วยผมจำลองสวนรถไฟที่เมืองไทยขึ้นมาใหม่ แต่ผมจะเปลี่ยนใหม่หมดเลยแล้วตั้งชื่อมันว่า ไทยเทรน การ์เดน ลุงรู้ใช่มั้ยครับว่าจริงๆมันจะมีที่ให้เช่ารถจักรยาน ติดๆกันสองสามร้าน แต่ผมจะเอามารวมกันเป็นร้านเดียวไปเลย แล้วจะมีรถจักรยานหลายรุ่นให้เช่า จะมีรุ่น "รถจักร" ซึ่งเป็นจักรยานวินเทจย้อนยุคสมัยก่อน รุ่นที่ลุงเคยขี่อะแหละครับ แล้วก็จะมีรุ่น "โบกี้" ที่ปั่นพร้อมกันได้สามคน แล้วอีกรุ่นคือ รุ่น"คาร์โก" ที่ตัวจักรยานจะมีรถเข็นเด็กพ่วงอยู่ข้างหลังสำหรับคนที่จะพาลูกมาออกกำลังกาย ส่วนตรงศูนย์อาหาร ลุงจำได้มั้ยครับ ที่จะมีบูทขายอาหารต่างๆ ผมจะให้อาจารย์วิบูรณ์ช่วยผมรีโมเดลมันใหม่ขึ้นมา ผมจะจำลองให้มันเป็นชานชาลาแบบย้อนยุคที่คนสมัยก่อนเอาไว้รอรถไฟ
แล้วส่วนเรื่องอาหาร ผมขอคนที่สอง กุ๊กเปเล่ ไอ้เด็กนอกที่จบมาจากยูซีเอลเอ สาขา คูลินารี่ อาท ไรนั้นอะครับ ที่มันออกทีวีบ่อยๆว่าทำอาหารสุดยอด เซฟรุ่นใหม่ไฟแรงของเมืองไทยไรนั้น ผมจะให้มันมาช่วยคิดสูตรหมูปิ้งใหม่ขึ้นมา ชื่อว่า "หมูปิ้ง(รส)ไฟ" ซึ่งแน่นอนว่าทำแบบเผ็ดๆไปเลย ให้ฝรั่งลองลิ้มรสอาหารสตายไทยแบบใหม่ดู ส่วนเรื่องน้ำดื่มกับขนมนั้น เราจะมีบริการขายน้ำอัดลมแบบหิ้วกับพวกถั่วชนิดต่างๆ ปลาหมึกปิ้ง ลูกชิ้นปิ้งไรพวกนี้ แต่เราจะมีคนบริการขายแบบหาบแร่ เหมือนกับสมัยก่อนอะครับ ลุงจำได้มั้ย ที่จะมีเด็กมาเดินขายตามหน้าต่างรถไฟ ซึ่งแน่นอน ผมจะให้ไอ้เปเล่เนี่ยคิดสูตรใหม่ขึ้นมาให้หมดเลย เอาแบบรสชาติดั้งเดิมแต่ใช้วัตถุดิบที่ดีกว่าและสดกว่า
ส่วนคนที่สาม ผมขอ คุณกิ๊ฟ ที่พึ่งเรียบจบมาจากอาทอินสถิทูตย์ ออฟ นิวยอร์ก สาขา ออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่ไปสร้างชื่อเสียงไว้ที่เมืองที่มิลานและก็สต็อกโฮม ผมอยากให้แกมาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาสองชิ้น ชิ้นแรก"เสื่อผืนหมอนใบ" เป็นเสื่อสานสตายไทยที่กันน้ำได้ กันความชื้นได้แล้ว ที่ตัวเสื่อจะมีช่องสี่เหลี่ยมขนาดพอดีทำเป็นพลาสติกที่เป่าลมได้ เหมือนกับสระว่ายน้ำของเด็กไรแบบนั้นอะครับ ถ้าเกิดอยากทำเป็นหมอนก็แค่เป่าลมใส่เข้าไป ถ้าจะพับเก็บก็ปล่อยลมออก ชิ้นที่สองคือ "ปิ่นโตคันทรี่" ซึ่งเลียนแบบมาจากปิ่นโตที่ใช้ในวัดอะครับ ลุงเคยเห็นใช่มั้ยครับ ที่มันซ้อนกันเป็นชั้นๆ สีเหลืองครีม แต่เราจะใช้วัสดุที่ดีกว่าทำออกมา ซึ่งเราก็จะขายของเหล่านี้เป็นสิ้นค้าดังของสวนแห่งนี้ เพื่อให้คนที่แวะมาซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก และแน่นอนว่า ผมคิดเอาไว้หมดแล้ว ลุงลองคิดดูสิครับ พอคนซื้อเสื่อกับปิ่นโตไป คนจะเอาไปใช้อะไรนอกจากเอามาปิกนิคกัน ซึ่งแน่นอนว่าคนก็ต้องกลับมาปิกนิคที่นี่ ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้และความนิยมให้กับสวนแห่งนี้ไปในตัว พร้อมกับปลูกฝังค่านิยมใหม่ๆให้คนออกมาปิกนิคกัน ไม่ใช่เอาแต่ไปเดินชอปปิ้งในห้าง อากาศที่นี่ดีกว่าเมืองไทยมาก ผมว่าไอเดียนี้มันต้องเวิกอย่างแน่นอนครับลุง ส่วนคนที่สี่ นี่.... "
ทันทีที่ผมหันกลับมามองที่ลุงอีกครั้ง ผมพบตัวเองนั้งอยู่คนเดียว บนโต๊ะยังมีหนังสือพิมพ์ที่ผมเอามากางอยู่ เก้าอี้ที่ลุงนั้งเมื่อตระกี้กลับว่างเปล่า มองหันมองไปรอบๆเพื่อหาลุง แต่ไม่มีแม้แต่วี่แวว
วันนั้งทั้งวัน ผมนั้งรอ ผมไม่อยากเข้าเรียน ผมไม่รู้สึกหิวหรืออยากกินอะไรทั้งนั้น ทุกๆครึ่งชั่วโมง ผมจะหันไปดูนาฬิกาอีกรอบเพื่อเช็คเวลาและหวังว่าลุงจะกลับมาหาผม แล้วพูดว่า " โทษทีนะพ่อหนุ่ม พอดีเมื่อสักครู่ ลุงต้องไปทำธุระในห้องน่้ำ " แล้วผมจะก็จะขอพรของผมต่อให้จบ แล้วลุงก็จะบันดาลให้ทั้งหมดนั้นเป็นความจริงขึ้นในพริบตา..
...ผมขอต้นทุน เอา..เอาซักประมาณ10...เออ แค่5ล้านเหรียญก็น่าจะพอ ส่วนข้อที่สอง ผมขอคนไทยสี่คนมาช่วยผมสร้างสวนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ คนแรก ผมขออาจารย์วิบูรณ์ คนไทยที่ไปฝึกฝีมือกับทาดาโอะ อันโด ที่ญี่ปุ่นมา7 ปีอะไรนั้น ผมอยากให้แกมาช่วยผมจำลองสวนรถไฟที่เมืองไทยขึ้นมาใหม่ แต่ผมจะเปลี่ยนใหม่หมดเลยแล้วตั้งชื่อมันว่า ไทยเทรน การ์เดน ลุงรู้ใช่มั้ยครับว่าจริงๆมันจะมีที่ให้เช่ารถจักรยาน ติดๆกันสองสามร้าน แต่ผมจะเอามารวมกันเป็นร้านเดียวไปเลย แล้วจะมีรถจักรยานหลายรุ่นให้เช่า จะมีรุ่น "รถจักร" ซึ่งเป็นจักรยานวินเทจย้อนยุคสมัยก่อน รุ่นที่ลุงเคยขี่อะแหละครับ แล้วก็จะมีรุ่น "โบกี้" ที่ปั่นพร้อมกันได้สามคน แล้วอีกรุ่นคือ รุ่น"คาร์โก" ที่ตัวจักรยานจะมีรถเข็นเด็กพ่วงอยู่ข้างหลังสำหรับคนที่จะพาลูกมาออกกำลังกาย ส่วนตรงศูนย์อาหาร ลุงจำได้มั้ยครับ ที่จะมีบูทขายอาหารต่างๆ ผมจะให้อาจารย์วิบูรณ์ช่วยผมรีโมเดลมันใหม่ขึ้นมา ผมจะจำลองให้มันเป็นชานชาลาแบบย้อนยุคที่คนสมัยก่อนเอาไว้รอรถไฟ
แล้วส่วนเรื่องอาหาร ผมขอคนที่สอง กุ๊กเปเล่ ไอ้เด็กนอกที่จบมาจากยูซีเอลเอ สาขา คูลินารี่ อาท ไรนั้นอะครับ ที่มันออกทีวีบ่อยๆว่าทำอาหารสุดยอด เซฟรุ่นใหม่ไฟแรงของเมืองไทยไรนั้น ผมจะให้มันมาช่วยคิดสูตรหมูปิ้งใหม่ขึ้นมา ชื่อว่า "หมูปิ้ง(รส)ไฟ" ซึ่งแน่นอนว่าทำแบบเผ็ดๆไปเลย ให้ฝรั่งลองลิ้มรสอาหารสตายไทยแบบใหม่ดู ส่วนเรื่องน้ำดื่มกับขนมนั้น เราจะมีบริการขายน้ำอัดลมแบบหิ้วกับพวกถั่วชนิดต่างๆ ปลาหมึกปิ้ง ลูกชิ้นปิ้งไรพวกนี้ แต่เราจะมีคนบริการขายแบบหาบแร่ เหมือนกับสมัยก่อนอะครับ ลุงจำได้มั้ย ที่จะมีเด็กมาเดินขายตามหน้าต่างรถไฟ ซึ่งแน่นอน ผมจะให้ไอ้เปเล่เนี่ยคิดสูตรใหม่ขึ้นมาให้หมดเลย เอาแบบรสชาติดั้งเดิมแต่ใช้วัตถุดิบที่ดีกว่าและสดกว่า
ส่วนคนที่สาม ผมขอ คุณกิ๊ฟ ที่พึ่งเรียบจบมาจากอาทอินสถิทูตย์ ออฟ นิวยอร์ก สาขา ออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่ไปสร้างชื่อเสียงไว้ที่เมืองที่มิลานและก็สต็อกโฮม ผมอยากให้แกมาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาสองชิ้น ชิ้นแรก"เสื่อผืนหมอนใบ" เป็นเสื่อสานสตายไทยที่กันน้ำได้ กันความชื้นได้แล้ว ที่ตัวเสื่อจะมีช่องสี่เหลี่ยมขนาดพอดีทำเป็นพลาสติกที่เป่าลมได้ เหมือนกับสระว่ายน้ำของเด็กไรแบบนั้นอะครับ ถ้าเกิดอยากทำเป็นหมอนก็แค่เป่าลมใส่เข้าไป ถ้าจะพับเก็บก็ปล่อยลมออก ชิ้นที่สองคือ "ปิ่นโตคันทรี่" ซึ่งเลียนแบบมาจากปิ่นโตที่ใช้ในวัดอะครับ ลุงเคยเห็นใช่มั้ยครับ ที่มันซ้อนกันเป็นชั้นๆ สีเหลืองครีม แต่เราจะใช้วัสดุที่ดีกว่าทำออกมา ซึ่งเราก็จะขายของเหล่านี้เป็นสิ้นค้าดังของสวนแห่งนี้ เพื่อให้คนที่แวะมาซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก และแน่นอนว่า ผมคิดเอาไว้หมดแล้ว ลุงลองคิดดูสิครับ พอคนซื้อเสื่อกับปิ่นโตไป คนจะเอาไปใช้อะไรนอกจากเอามาปิกนิคกัน ซึ่งแน่นอนว่าคนก็ต้องกลับมาปิกนิคที่นี่ ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้และความนิยมให้กับสวนแห่งนี้ไปในตัว พร้อมกับปลูกฝังค่านิยมใหม่ๆให้คนออกมาปิกนิคกัน ไม่ใช่เอาแต่ไปเดินชอปปิ้งในห้าง อากาศที่นี่ดีกว่าเมืองไทยมาก ผมว่าไอเดียนี้มันต้องเวิกอย่างแน่นอนครับลุง ส่วนคนที่สี่ นี่.... "
ทันทีที่ผมหันกลับมามองที่ลุงอีกครั้ง ผมพบตัวเองนั้งอยู่คนเดียว บนโต๊ะยังมีหนังสือพิมพ์ที่ผมเอามากางอยู่ เก้าอี้ที่ลุงนั้งเมื่อตระกี้กลับว่างเปล่า มองหันมองไปรอบๆเพื่อหาลุง แต่ไม่มีแม้แต่วี่แวว
วันนั้งทั้งวัน ผมนั้งรอ ผมไม่อยากเข้าเรียน ผมไม่รู้สึกหิวหรืออยากกินอะไรทั้งนั้น ทุกๆครึ่งชั่วโมง ผมจะหันไปดูนาฬิกาอีกรอบเพื่อเช็คเวลาและหวังว่าลุงจะกลับมาหาผม แล้วพูดว่า " โทษทีนะพ่อหนุ่ม พอดีเมื่อสักครู่ ลุงต้องไปทำธุระในห้องน่้ำ " แล้วผมจะก็จะขอพรของผมต่อให้จบ แล้วลุงก็จะบันดาลให้ทั้งหมดนั้นเป็นความจริงขึ้นในพริบตา..
No comments:
Post a Comment