Saturday, March 19, 2011

บทที่ ๑ - เริ่มต้นด้วยความรีบร้อน


ทุกครั้งที่ผมรู้สึกตื่นเต้น ของเหลวภายในตัวผมจะชอบเรียกร้องหาอิสระภาพ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งวันนี้ผมมีอาการตื่นเต้นกว่าปกติเพราะมันเป็นวันแรกของการเรียนที่มหาลัยแห่งใหม่ที่ประเทศแห่งใหม่ ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่โดยการเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำที่ไม่ใหม่ ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนขี้อาย แต่ไอ้การที่จะต้องปลีกตัวไปขี้ในขณะที่ตัวเองกำลังหลงทางอยู่นั้น มันช่างเป็นการขี้ที่กดดันมาก อย่างแรกเลยคือ ผมเหลือเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนที่วิชาแรกจะเริ่ม ผมใช้เวลา20นาทีก่อนหน้านี้เดินวนไปวนมา หาเลขที่ห้องที่เรียงต่อกันในรูปแบบที่ผมยังไม่เคยชิน บางทีไอ้การจัดรูปแบบของห้องเรียนให้สลับซับซ้อน อาจจะเป็นทฤษฎีของสถาปนิคผู้ออกแบบมหาลัยนี้ก็ได้ เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกสมองไปในตัวในขณะที่เดิน อย่างที่สองก็คือ คนที่ปวดขี้ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว ตอนที่เดินวนอยู่ตรงทางเข้าหลัก มีผู้คนมากมายเดินกันอย่างขวักไขว่ ผมไม่เคยรู้ว่าโรงเรียนนี้มันโด่งดังขนาดนี้ และแต่ละคนก็คงมีความรู้สึกอะไรที่ไม่ต่างไปจากผมนี่หล่ะมั้ง ง่วงนอน ตื่นเต้น หลงทาง และต้องการที่ปลดปล่อย 

     โชคดีมาก ที่นี่มีห้องน้ำแทบจะทุกมุมตึก ผมสามารถเลือกตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ พอทำธุระเสร็จ ผมเหลือบดูนาฬิกาที่โทรศัพท์ ผมเหลือเวลาอีก 5 นาทีในการหาห้องเรียน ผมรีบหยิบเอาแผ่นกระดาษที่มีหมายเลขห้องออกมาดูอีกรอบก่อนที่จะรีบเดินแบบเร็วๆออกมาจากห้องน้ำ ด้วยการที่เร่งรีบและไม่ได้มองทาง ผมเดินไปชนเข้ากับใครบางคน มันเป็นการชนที่เบามาก เหมือนกับแค่เป็นการกระทบไหล่ แต่บุคคลนั้นลอยกระเด็นไปไกลจนผมตกใจ ผมสังเกตุเห็นร่างที่นอนอยู่บนพื้น เขาคนนั้นใส่เสื้อเชิทแขนยาวสีขาวและเสื้อกั๊กไหมพรมลายสก็อตสีน้ำตาลแก่ กางเกงของแกเป็นกางเกงธรรมดาๆสีเทา ตกอยู่ข้างๆแกเป็นไม้เท้าที่ทำจากไม้ ผมรีบเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อดูเหตการณ์ ชายคนนั้นค่อยๆลุงขึ้นมานั้งแล้วทำเสียงครวญครางในลำคอ ผมสังเกตุใบหน้าของแก เป็นใบหน้าของชายชราเอเชียผิวคล้ำ ผมของแกเป็นทรงแทรกกลาง หงอกธรรมชาติ

 " หนุ่ม เห็นแว่นตาลุงไหม " ลุงคนนั้นพูดออกมาเป็นภาษาไทย


 " อ่าว ลุงคนไทยหรอครับ ผมก็คนไทยเหมือนกัน ผมขอโทษจริงๆครับ ไม่ได้มองทาง " ผมโล่งอกที่ลุงไม่เป็นอะไรมาก นึกขึ้นได้ ผมรีบเอาโทรศัพท์มาดูเวลา เหลืออีก 2 นาที
" นี่หนุ่ม วานช่วยลุงหาแว่นตาหน่อยสิ ลุงไม่สามารถเดินได้ ถ้าลุงมองไม่เห็น " ลุงใช้ไม้เท้าพยุงตัวขึ้นยืน แล้วทำท่าทางค้นหาอะไรบางอย่าง
" ลุงครับ ผมต้องรีบไปจริงๆครับ ผมไม่อยากไปสายวันแรก ลุงลองหาดูดีๆนะครับ มันน่าจะอยู่แถวๆนี้ " ผมรีบลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ เหลืออีกสองนาที ผมไม่มีทางไปถึงห้องตรงเวลาถ้าไม่รีบ ผมรีบเดินหนีออกมา แต่พอจะก้าวขึ้นบันได ผมเปลี่ยนใจ เดินกลับไปหาตรงที่ลุงยืนอยู่อีกครั้ง ผมรีบก้มลงไปบนพื้นแล้วกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ ผมเห็นแว่นของลุงตกอยู่ที่ตรงบันไดต่างระดับเล็กๆที่จะขึ้นไปบนห้องอาหาร  
ผมรีบหยิบแว่นนั้นมาแล้วยื่นให้ลุงที่นั้งเงียบๆรออยู่ตรงขั้นบันไดอีกฝั่ง
" ขอบพระคุณหนุ่ม ..เพื่อเป็นการตอบแทน ลุงจะให้พรสองข้อ กล่าวมาได้เลย " ลุงพูดภาษาไทยออกมาชัดเจน ด้วยน้ำเสียงที่สุขุม เหมือนแกเน้นทุกคำให้ผมฟังอย่างชัดเจน ชัดถ้อย ชัดคำ
" ขอบคุณมากครับลุง แต่ผม..ผมไม่รู้จะขออะไรดี อีกอย่างผมต้องรีบไป " ไม่มีอะไรค้างคาใจ ผมรีบลุกขึ้นเดินออกไปอีกครั้ง
" ห้องเรียนที่หนุ่มจะไปอยู่บนชั้นสาม เดินตรงขึ้นไปจากที่แห่งนี้ จะเห็นบันไดอยู่ทางซ้ายมือ เดินขึ้นไปจนถึงชั้นสามแล้วเลี้ยวซ้าย ชั่วครู่ ห้องของหนุ่มจะอยู่ถัดมา ห้องที่ห้า" ลุงพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
" ลุงรู้หรอว่าผมจะไปห้องไหน
" ห้อง สาม หนึ่ง หนึ่ง หก ถูกต้องไหม วิชาคณิตศาสตร์ที่หนุ่มมีความเกลียดชัง " ลุงตอบ อีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มนวล
" ลุง... ลุงรู้ได้ยังไงครับ " ผมรีบหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาดูอีกครั้ง ห้อง 3116 ไม่ผิดเพี้ยน วิชา คณิตศาสตร์ ไม่ผิดเพี้ยน และเรื่องที่ผมเกลียดมัน ก็ไม่ผิดเพี้ยนจากความจริงเลย 
" ไม่ต้องพูดอะไรหรอก ลุงอยู่ทุกอย่างเกี่ยวกับหนุ่ม ลุงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ เว้่นเสียแต่.. " ลุงพูดขึ้นมาในระหว่างที่ผมอึ่งอยู่ " ยกเว้นเสียแต่ เรื่องส่วนตัวของลุง  ลุงไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ขนาดแว่นตาลุง ยังไม่รู้เลยว่ามันได้หายไปที่ใด "  
" เอาหล่ะ ลุงทำให้หนุ่มสมหวังได้ สองครั้ง " ลุงพูดต่อ
" ผมจะขอได้จริงๆหรอครับ ..อะไรก็ได้หรอครับ
" ถูกต้อง แต่ห้ามขอว่าให้ขอพรได้อย่างไม่หมดสิ้น มันผิดหลักกฎเกณท์และมันจะทำให้ชีวิตหนุ่มเสื่อมลง แย่ลง " ลุงเตือน
" นั้นสิครับ " ผมไม่รู้จะพูดอะไรตอบ
" หลายคนไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของการขอพร เขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่จะต้องเคียงคู่กันไปกันสิ่งที่ขอ บางคนที่ลุงเคยให้พรมา เขาขอให้ได้แฟนสาวที่มีรูปโฉมสวยงามที่สุด หรือบางคนขอให้มีเงินในธนาคารเพิ่มมูลค่าขึ้นเป็นร้อยล้าน แต่เขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่จะต้องคู่กันไปกับการมีภรรยาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์หา สุดท้ายเพื่อนของเขาเลิกคบเพราะอิจฉาริษยา แฟนสาวคนนั้นมีนิสัยติดการพนันและตลอดเวลาที่คบกัน เขาไม่เคยมีความสุขเลยเพราะต้องคอยมากังวลว่าจะมีใครมาแอบรุมจีบเธอ ส่วนคนที่ขอให้มีเงินร้อยล้าน สุดท้ายเสียชีวิต เพราะกินดีอยู่ดีเกินไปทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก อาศัยอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยข้าวของกองพูนจนเต็มไปทั่วบริเวณ สุดท้าย โดนของที่กองอยู่ด้านบนหล่นลงมาทับเสียชีวิต " ลุงพูดจนจบ 
" แต่หนุ่มเป็นคนที่มีความคิดและมีจิตใจดี ลุงรู้ว่าหนุ่มจะขอในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวหนุ่มเอง " ลุงพูดต่อ
"...ครับ.. " ผมพูดขึ้นในที่สุด " ขอเวลาผมคิดหนึ่งคืน พรุ่งนี้เวลานี้ ผมจะมาหาลุงใหม่แล้วขอพรได้ไหมครับ
" ใช้เวลาไตร่ตรองได้นานเท่าที่หนุ่มต้องการ " ลุงยิ้ม ผมหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาอีกครั้ง เวลาย้อนกลับมาเจ็ดโมง ห้าสิบห้านาที ? เหลืออีก5 นาทีก่อนถึงเวลาเข้าเรียน ??
" รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะเสียเวลา "

บทที่ ๒ - ไม่มีชื่อ

สวนสาธาณะนี้ไม่มีชื่อ ผมรู้แต่ว่ามันอยู่ตัดกันระหว่างถนน18 และพอปล่าอวานูย์ สิ่งแรกที่น้าเพ็ญบอกผมตอนที่ผมไปสมัครงาน " น้าว่าแกไปหาที่อื่นทำเถอะหว่ะ ที่นี้มันดูเปลี่ยวๆไงไม่รุ น้าว่า " แต่ผมไม่ได้รู้สึกอย่างกับที่น้าเพ็ญบอก ความรู้สึกแรกตอนที่ผมย่ำเท้าลงบนสนามหญ้า มันเป็นความรู้สึกสบาย ผมชอบอะไรที่มันไม่หวือหวา แค่สวนสาธารณะธรรมดาๆก็เพียงพอสำหรับผม  สวนนี้มีขนาดเล็ก ไม่น่าจะเกิน 2ไร่ ต้นพอปล่าที่ขึ้นอยู่ประปราย ทำให้สวนแห่งนี้ดูโล่งและเรียบง่าย(ตอนแรกผมไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไร จนน้าเพ็ญบอก) แสตนขายฮอทด็อกที่ผมจะต้องขายตั้งอยู่ตรงริมทะเลสาปเล็กๆ ตอนสมัยอยู่เมืองไทย ผมเคยทำงานอยู่ร้านขายเสื้อที่สวนจตุจักร สำหรับนักเรียนศิลป์ที่ไม่ได้มีเส้นสายและงบประมาณ การขายเสื้อสกีนที่สวนเป็นการหารายได้ที่เป็นทางออกที่ดี จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ร้านของผม ผมเป็นแค่หุ้นส่วน ที่ผมทำตอนนั้นก็แค่ออกแบบลายเสื้อให้พี่อีกคนที่สนใจ แล้วเข้าไปช่วยนั้งขายบางเวลา แต่ทำได้ประมาณ 4 เดือน ร้านก็ปิดลง " มีแต่คนมาดูแต่ไม่มีคนซื้อ " เป็นประโยคที่พี่เขาบอกกับผม นั้นคืองานเดียวที่ผมเคยทำ 
ช่วงสองอาทิตย์แรก ผมตื่นเต้นมากจนถึงที่สุด ต้องทำอาชีพอะไรที่ผมไม่เคยชินแล้วต้องสื่อสารภาษาอังกฤษ การขายฮอทด็อกมันเป็นอะไรที่ฟังดูเท่ในช่วงสองอาทิตย์แรก แต่พอเข้าอาทิตย์ที่สาม ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม เหตุผลนึงอาจจะเป็นเพราะว่าวันๆนึง ผมแทบจะขายมันไม่ได้เลย ขายได้อย่างมากวันนึงไม่เกิน 5 ชิ้น บางทีนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่เขาจ้างผมเข้าทำงาน เพราะว่ามันเป็นงานที่ไม่มีใครอยากทำ แต่อย่างน้อยผมก็ได้หมวกฟรีมาใส่ และแน่นอน แสตนขายฮอทด็อกของผมก็ไม่มีชื่อ " Hotdogs " เป็นคำตัวใหญ่ๆในป้ายที่แปะไว้หน้าร้าน ให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าผมมายืนทำอะไร
ผมอาศัยอยู่กับน้าเพ็ญที่ห้องเช่าเล็กๆตรงแถบตอนเหนือของซีแอตเทิล มันเป็นอพาทเมนต์ 3 ชั้นที่ถ้าเทียบกับเมืองไทยก็ถือว่ามันหรูหรามาก แต่น้าเพ็ญมีความคิดตรงกันข้ามกับผม เธอบอกว่าถ้าเธอมีเงินเยอะๆ เธอจะพาผมย้ายไปจากที่โทรมๆแห่งนี้ อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้แกเลยไปเล่นที่คาสิโนแทบทุกวัน และก็เครียดกลับมาถึงบ้านตลอด นานๆทีผมจะเห็นน้าเพ็ญยิ้ม แต่ส่วนใหญ่เธอจะแสดงสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก ผมไม่คิดว่าเธอเป็นคนเย็นชา แต่ผมรู้สึกได้ว่าเธอมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอซ่อนความรู้สึกเอาไว้ข้างใน
ผมใช้เวลาทั้งคืนนอนคิดถึงสิ่งที่ผมต้องการจะขอ ผมเริ่มต้นด้วยการนอนคิดเล่นๆจนสุดท้ายตัดสินใจลุกขึ้นนั้งบนโต๊ะแล้วบรรจงเขียนหัวข้อต่างๆลงบนกระดาษ ไล่ลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อย ผมจะขอเป็นเงินดีหรือว่าจะขอเป็นสิ่งของ ผมจะขออะไรดี ลุงบอกว่า ขอได้สองข้อ ทำไมต้องสองข้อวะ? ปกติถ้าเป็นในหนังมันจะมีสามข้อซะส่วนใหญ่ อย่างในเรื่องอะลาดินกับตะเกียงวิเศษหรือในหนังฮอลลิวูดที่ผมเคยดู คิดไม่ออก ผมเดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปตรงที่ระเบียง อพาทเมนต์ที่ผมอยู่อยู่ไม่ห่างจากถนนใหญ่มากนัก แต่ตอนนี้ท้องถนนช่างดูเคว้งคว้างและเงียบเชียบ ผมได้ยินเสียงเด็กวัยรุ่นผู้หญิงสองคนคุยอะไรกันอยู่ไกลๆ ตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในห้องนั้งเล่น ผมเห็นน้าเพ็ญนั้งดื่มเบียร์อยู่เงียบๆบนเคาร์เตอร์ ทันทีที่เธอเห็นผมเดินเข้ามา น้าเพ็ญกดรีโมทปิดทีวี ห้องนั้งเล่นกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ผมเดินไปนั้งตรงเก้าอี้ข้างๆ
" น้าเพ็ญเคยขอพรมั้ยครับ? " ผมถามแกแต่แทนที่จะตอบ แกยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม
" เคยดิ " แกตอบแล้วเว้นช่วงหยุดคิด " น้าเคยไปวัดทุกวันอาทิตย์รู้ป่าว " แกตอบ ผมไม่เคยรู้เลย
" กรณ์พึ่งมาอยู่ด้วยกันได้แค่ 2เดือน แต่ก่อนหน้าที่แกจะมา น้าไปวัดทุกวันอาทิตย์เลย น้าจะทำอาหารไปถวายพระแล้วก็ฟังพระท่านเทศน์ " น้าเพ็ญพูดจนจบ
" แล้วอย่างการข้อพรอย่างจริงๆจังๆเนี่ย น้าเคยขอมั้ยครับ แบบว่า.. ขอให้ร่ำรวย หรือให้ได้รถ ได้บ้านไรแบบนี้ " ผมถามต่อ
" ใครๆก็ขอแบบนั้นกันทั้งนั้นแหละ " แกตอบกลับมา
" แล้ว... "  ผมพูดต่อ แต่พอยังไม่ทันพูดจนจบ น้าเพ็ญพูดสวนขึ้นมา 
" กรณ์อยากได้อะไร ก็ขอไปเลย อย่าไปสนใจว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไง อย่าไปคิดว่า เออ คนไม่ดีเขาจะขอกันแบบนี้ หรือ คนดีๆเขาจะขอแบบนี้ แบบไม่ให้ตัวเองแต่ให้คนอื่นมีความสุข สมหวังอะไร หมาไม่แดกแบบนั้น " แกวางกระป๋องเบียร์แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม 
" ขอ..ไป..เลย " แกพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วถอยตัวออกไปกินเบียร์ต่อ

กลับเข้ามาในห้อง ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง แล้วอยู่ดีๆ คำพูดที่วันนี้ มิสเตอร์กิลล์ ผู้จัดการแสตนขายฮอทดอก พูดกับผมมันพุดขึ้นมา อีกประมาณไม่ถึงหนึ่งเดือน สวนสาธารณะแห่งนี้จะต้องปิดลงและคงความไม่มีชื่อแบบนี้ไปตลอดการ ผมยังจำสีหน้าของมิสเตอร์กิลล์ได้ มันเป็นสีหน้าของคนที่ปลงมาแล้วหลายรอบจัดจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกต่อไป ผมตัดสินใจ พรุ่งนี้เช้าผมจะเดินไปหาลุงสมปอง แล้วสิ่งแรกที่ผมจะขอ คือ การเอาชื่อใส่ลงไปในสวนสาธารณะที่ไม่เคยมีชื่อแห่งนี้ แล้วมันต้องไม่ใช่แค่มีชื่อธรรมดาๆ เพราะผมจะขอให้มันมีทั้งชื่อและ "ชื่อเสียง" ไปตลอดการ

บทที่ ๓ - กว้างเกินไป

" มันกว้างเกินไป " ลุงตอบโดยที่สายตาจับจ้องไปที่หนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือ
" ...กว้างเกินไป? " ผมอึ้งกับคำตอบของลุง
" ถูกต้อง สิ่งที่หนุ่มขอมันกว้างเกินไป ลุงไม่สามารถดลบันดาลให้เป็นจริงได้ " ลุงพูดแต่สายตายังจับจ้องไปที่ตัวหนังสือบนหน้าหนังสือพิมพ์ ลุงค่อยๆเอานิ้วชี้เลื่อนไปตามคำต่างๆในบรรทัด แล้วทำปากอ่านตามเบาๆ
" ไหนลุงบอกว่าจะให้พรผมสองข้อ ให้ผมขออะไรก็ได้ นี่ผมก็ขอข้อที่หนึ่ง ให้สวนสาธารณะที่ผมทำงานอยู่กลับมาเจริญรุ่งเรื่อง มีผู้คนมาใช้บริการกันถ้วนหน้า มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆทันสมัย ให้มันกลายเป็นศูนย์รวมของคนทุกเพศทุกวัย " ผมย้ำพรของผมให้ลุงฟังอีกรอบ
" นั้นแหละ มันกว้างเกินไป หนุ่มต้องเจาะจงให้ลุงฟังว่า จะให้บันดาลสิ่งใดกันแน่ พูดชื่อเฉพาะของสิ่งนั้นออกมา " ลุงเหล่ตามาที่ผมแล้วพูด
" ลุงครับ... ก่อนอื่น ลุงเลิกอ่านหนังสือพิมพ์แล้วคุยกับผมก่อนได้มั้ยครับ ผม.. " 
" นี่หนุ่ม ลุงจะขึ้นชื่อว่าเป็นรู้รอบรู้ทุกอย่างในโลกใบนี้ได้อย่างไร หากลุงไม่ศึกษาหาข้อมูล อีกอย่างนึง หนุ่มกำลังศึกษาด้านสถาปัตยกรรมใช่หรือไม่ ลุงอยากให้หนุ่มเอาความสามารถนี้มาใช้ให้เกิดสรรพคุณ " ลุงพูดจนจบ
" ลุงครับ ผมพึ่งเริ่ม...แล้ว...เด็กอย่างผมจะไปทำอะไรได้ " ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา
" ลุงอยากให้หนุ่มกลับไปไตร่ตรองมาอีกคืนนึง ไตร่ตรองถึงความทรงจำที่หนุ่มเคยมี ถึงบ้านเกิดของหนุ่มที่เมืองไทย ถึงความร่มรื่น เย็นสบาย ถึงรอยยิ้มของผู้คนที่ออกมาจากใจจริง เอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นแรงบันดาลใจ วาดแบบสวนในฝันของหนุ่มขึ้นมา ถ้าแค่นั้นหนุ่มทำได้ใช่หรือไม่ แค่จินตนาการถึงสวนแห่งใหม่ที่จะทำให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แล้วพอหนุ่มรู้แน่ชัดถึงสิ่งที่หนุ่มขาดแคลน กลับมาหาลุงอีกครั้ง แล้วเจาะจงขอมันกับลุง แค่นี้ทำได้หรือไม่ " ลุงพูดต่อจนจบ ผมพยักหน้าเบาๆแล้วเดินจากมา สวนในฝัน? สวนในความทรงจำ? สวนจตุจักร? สวนหลวงร.9...สวน...  ผมพยายามจะนึกแต่นึกไม่ออก มันเป็นอย่างที่ลุงพูดจริงๆ..เรื่องที่ขอ มันกว้างเกินไป

บทที่ ๔ - ความทรงจำในสวนรถไฟ

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณครึ่งปีก่อน ตอนที่ผมได้มีโอกาสไปที่สวนรถไฟครั้งแรก ปกติผมเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมอะไรนอกบ้านเลย คงเป็นเหมือนกับเด็กวัยรุ่นไทยแทบทุกคนหล่ะมั้ง ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตในสภาพอากาศที่หลอมละลายร่างกายของกรุงเทพได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องไปคือ "พลอย" ..และผมควรจะพูดชื่อพี่ป๋องด้วย เพื่อเป็นการทำให้เรื่องยาวกลายเป็นเรื่องสั้น ผมแอบชอบพลอย แต่พลอยแอบชอบพี่ป๋อง คลาสสิกรักสามเศร้า... ผมกับพี่ป๋องเรารู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่คณะสถาปัตฯ พี่ป๋องเป็นรุ่นพี่ของผมและเป็นคนที่มีบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่ ด้วยความที่แกเป็นคนสุขุม รอบคอบ ผมในถานะไอ้ตัวพูดมาก ทำให้แกมาตีซี้กับผม เรื่องของเรื่องก็คือ แกต้องการคนวิจารณ์ดีไซน์ที่แกออกแบบ อีกอย่างเกี่ยวกับพี่ป๋องที่ผมว่าทำให้พลอยชอบ(หรือใครหลายคนชอบ)คือฝีมือในการวาดรูปและออกแบบ ถึงในเรื่องจินตนาการ(และหน้าตา)แกจะสู้ผมไม่ได้ แต่พี่ป๋องเป็นอัจฉริยะในด้านการคำนวณและออกแบบ พลอยซึ่งรุ่นเดียวกับผม ตะลึงในความสุดยอดของแก 
พลอยเป็นในผู้หญิงไม่กี่คนในคณะที่ผมว่าน่ารัก แน่นอนว่าทั้งโรงเรียนต้องมีคนน่ารักกว่าพลอยอีกเป็นหลายสิบคน แต่พลอยมีรอยยิ้มที่จริงใจที่ทำให้หนุ่มๆแทบทุกคนหลงเสน่ห์  แต่สิ่งที่ทำให้ผมชอบพลอยมากกว่าใครคือบุคลิกของเธอ พลอยเป็นคนขี้อายในสายเลือดแต่เธอจะกล้าแสดงออกในเรื่องที่ควรแสดงออก อย่างครั้งนึง ตอนที่มีคนมาจีบเธอแล้วพูดจาไม่ดีกับเธอ พลอยตะโกนด่ากลับด้วยคำที่ผมไม่เคยนึกว่าเธอจะกล้าพูด หรืออย่างครั้งที่ไปกินร้านอาหารแล้วการบริการห่วยแตก พลอยเป็นคนแรกที่ออกปากวิจารณ์อย่างดัง จนกลายเป็นเรื่องเป็นราว
ผมยังจำความรู้สึกที่นั้งอยู่บนรถตุ๊กตุ๊กระบบเครื่องสองเจโบได้ ผม พลอย และพี่ป๋องนั้งเกาะเสาด้วยความรู้สึกกังวลและร้อนอบอ้าว ผมจำได้ว่าเราไปกันตอนเวลาประมาณบ่ายโมง ผมจำไม่ได้ว่ามันเป็นไอเดียของใคร ใครเป็นคนนัดเวลาวะ? ระยะทางจากสวนจตุจักรมายังกำแพงเพชรเป็นระยะไม่ไกลมานัก แต่ด้วยความที่รถติดแต่หัววัน ทำให้ใช้เวลานานมาก แม้ว่าพี่คนขับเขาจะวิ่งเร็วแค่ไหน แต่ถ้ารถยังบินไม่ได้ แกก็จนปัญญาเหมือนกัน สิ่งแรกที่พวกเราทำตอนมาถึงคือหาน้ำดื่ม พี่ป๋องออกปากว่าจะเลี้ยงน้ำ ผมไม่ได้คัดค้านแต่พลอยเกรงใจ สุดท้ายลงเอยด้วยการที่ผมต้องเป็นคนซื้อหมูปิ้งกับข้าวเหนียว พลอยซื้อน้ำกับขนม และพี่ป๋องเช่าจักรยาน เราสามปั่นจักรยานด้วยความรื่นเริง ท่างกลางแสงแดดที่ใกล้จุดเดือด เราสามคนปั่นวนกันประมาณสามรอบแล้วหยุดพัก ทันทีที่เจอมุมร่ม เราสามคนจอดจักรยานแล้วพักกินข้างกลางวัน ผมยังจำได้ นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสไปปิกนิค ผมไม่ชอบปิกนิค แต่ผมชอบเวลาได้อยู่ใกล้ๆพลอย ให้ผมทำอะไรก็ยอม
วันๆนั้นทั้งวันเกือบจะจบลงด้วยความเบื่อหน่าย แต่...ตอนใกล้จะกลับ พลอยชวนผมและพี่ป๋องไปนั้งกินข้าวกันตรงร้านข้างทางและเธอก็สารภาพรัก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่กับผม แต่เป็นกับพี่ป๋อง ผมซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นเกือบจะกลายเป็นหิน ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้แม่น ผมหันไปมองรถแท็กซี่ที่ขับผ่านไปผ่านมาคันแล้วคันเล่า ผมเกือบจะเดินออกไปแล้วโบกรถแท็กซี่กลับบ้านไปคนเดียว ผมแค่ไม่สามารถอยู่ในที่ตรงนั้นได้อีกแม้วินาที พี่ป๋องในทางกลับกัน นั้งนิ่งไปซักระยะทิ้งให้พลอยนั้งรอคำตอบอยู่ประมาณ15นาที แล้วพี่ป๋องก็พูดสิ่งที่ผมจำไปจนวันตายออกมา แกบอกว่า " พี่รู้มานานแล้วว่าพลอยแอบชอบพี่อยู่ แล้วไอ้กรณ์ก็แอบชอบพลอยอยู่  แล้วตัวพี่เองก็มีคนที่แอบชอบอยู่แล้วเหมือนกัน เราสามคนต่าง "แอบ"ความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ข้างใน วันนี้พี่เองก็ไม่อยากแอบมันไว้อีกต่อไปแล้ว พี่ขอพูดว่า พี่ไม่ได้ชอบพลอยและพี่ก็ไม่สามารถบังคับจิตใจของตัวเองได้ สถาปนิคอย่างเราออกแบบได้ทุกอย่าง แต่ความรักไม่ใช่ศิลปะ ความรักไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ความรักเป็นแค่พลังงานบริสุทธ์ที่เกิดขึ้นเองอย่างไม่มีการคำนวณมาก่อน ไม่มีทางที่จะคาดเดาและไม่มีทางที่จะควบคุม " ผมไม่รู้ว่าพลอยเข้าใจในสิ่งที่พี่ป๋องพูดแค่ไหน แต่ผมมึนตึบไปหมด พลอยร้องไห้ พี่ป๋องโบกแท็กซี่กลับบ้าน ผมโบกอีกคันไปส่งพลอย แล้วก็นั้งรถกลับบ้าน
หลังจากวันนั้นมา เราสามคนก็ไม่ค่อยได้คุยกันเหมือนแต่ก่อน พลอยยังคงรอยยิ้มอันเดิมเอาไว้แต่ผมแอบเห็นความเศร้าที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มของเธอ พี่ป๋องทำตัวปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ส่วนตัวผมเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างข้างใน ตอนแรกผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมหวนคิดถึงสวนรถไฟแทบตลอดเวลา หลังจากวันนั้นมา ถ้าวันไหนผมว่าง ผมจะแวะไปที่สวนรถไฟแทบทุกวัน ผมจะนั้งรถตุ๊กตุ๊ก ซื้อน้ำดื่ม ซื้อหมูปิ้ง ปั่นจักรยานสามรอบ แล้วก็แวะไปร้านข้างทางนั้นอีกครั้ง ทุกครั้งที่ผมไป ผมจะพยายามจำลองเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมอยากจะกลับไปรู้สึกมันอีก ผมอยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อีกหกเดือนต่อมา พี่ป๋องจบการศึกษาด้วยเกียร์ตินิยมอันดับหนึ่ง และปีต่อมาผมกับพลอยก็จบตามออกไป และหลังจากนั้น พวกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

บทสุดท้าย - พร

" ว่ามา " ลุงมองมาที่ผมแล้วพูด แทนที่จะตอบ ผมหยิบเอาหนังสือพิมพ์ขึ้นมา
" ลุงอ่านไปด้วย ฟังผมไปด้วยนะครับ เพราะมันจะเป็นคำขอที่ยาวมาก " ผมพูด
" ว่ามา " ลุงพูดต่อแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์
" ข้อแรกนะครับ..

          ...ผมขอต้นทุน เอา..เอาซักประมาณ10...เออ แค่5ล้านเหรียญก็น่าจะพอ ส่วนข้อที่สอง ผมขอคนไทยสี่คนมาช่วยผมสร้างสวนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ คนแรก ผมขออาจารย์วิบูรณ์ คนไทยที่ไปฝึกฝีมือกับทาดาโอะ อันโด ที่ญี่ปุ่นมา7 ปีอะไรนั้น ผมอยากให้แกมาช่วยผมจำลองสวนรถไฟที่เมืองไทยขึ้นมาใหม่ แต่ผมจะเปลี่ยนใหม่หมดเลยแล้วตั้งชื่อมันว่า ไทยเทรน การ์เดน ลุงรู้ใช่มั้ยครับว่าจริงๆมันจะมีที่ให้เช่ารถจักรยาน ติดๆกันสองสามร้าน แต่ผมจะเอามารวมกันเป็นร้านเดียวไปเลย แล้วจะมีรถจักรยานหลายรุ่นให้เช่า จะมีรุ่น "รถจักร" ซึ่งเป็นจักรยานวินเทจย้อนยุคสมัยก่อน รุ่นที่ลุงเคยขี่อะแหละครับ แล้วก็จะมีรุ่น "โบกี้" ที่ปั่นพร้อมกันได้สามคน แล้วอีกรุ่นคือ รุ่น"คาร์โก" ที่ตัวจักรยานจะมีรถเข็นเด็กพ่วงอยู่ข้างหลังสำหรับคนที่จะพาลูกมาออกกำลังกาย ส่วนตรงศูนย์อาหาร ลุงจำได้มั้ยครับ ที่จะมีบูทขายอาหารต่างๆ ผมจะให้อาจารย์วิบูรณ์ช่วยผมรีโมเดลมันใหม่ขึ้นมา ผมจะจำลองให้มันเป็นชานชาลาแบบย้อนยุคที่คนสมัยก่อนเอาไว้รอรถไฟ 

   แล้วส่วนเรื่องอาหาร ผมขอคนที่สอง กุ๊กเปเล่ ไอ้เด็กนอกที่จบมาจากยูซีเอลเอ สาขา คูลินารี่ อาท ไรนั้นอะครับ ที่มันออกทีวีบ่อยๆว่าทำอาหารสุดยอด เซฟรุ่นใหม่ไฟแรงของเมืองไทยไรนั้น ผมจะให้มันมาช่วยคิดสูตรหมูปิ้งใหม่ขึ้นมา ชื่อว่า "หมูปิ้ง(รส)ไฟ" ซึ่งแน่นอนว่าทำแบบเผ็ดๆไปเลย ให้ฝรั่งลองลิ้มรสอาหารสตายไทยแบบใหม่ดู ส่วนเรื่องน้ำดื่มกับขนมนั้น เราจะมีบริการขายน้ำอัดลมแบบหิ้วกับพวกถั่วชนิดต่างๆ ปลาหมึกปิ้ง ลูกชิ้นปิ้งไรพวกนี้ แต่เราจะมีคนบริการขายแบบหาบแร่ เหมือนกับสมัยก่อนอะครับ ลุงจำได้มั้ย ที่จะมีเด็กมาเดินขายตามหน้าต่างรถไฟ ซึ่งแน่นอน ผมจะให้ไอ้เปเล่เนี่ยคิดสูตรใหม่ขึ้นมาให้หมดเลย เอาแบบรสชาติดั้งเดิมแต่ใช้วัตถุดิบที่ดีกว่าและสดกว่า 

  ส่วนคนที่สาม ผมขอ คุณกิ๊ฟ ที่พึ่งเรียบจบมาจากอาทอินสถิทูตย์ ออฟ นิวยอร์ก สาขา ออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่ไปสร้างชื่อเสียงไว้ที่เมืองที่มิลานและก็สต็อกโฮม ผมอยากให้แกมาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาสองชิ้น ชิ้นแรก"เสื่อผืนหมอนใบ" เป็นเสื่อสานสตายไทยที่กันน้ำได้ กันความชื้นได้แล้ว ที่ตัวเสื่อจะมีช่องสี่เหลี่ยมขนาดพอดีทำเป็นพลาสติกที่เป่าลมได้ เหมือนกับสระว่ายน้ำของเด็กไรแบบนั้นอะครับ ถ้าเกิดอยากทำเป็นหมอนก็แค่เป่าลมใส่เข้าไป ถ้าจะพับเก็บก็ปล่อยลมออก ชิ้นที่สองคือ "ปิ่นโตคันทรี่" ซึ่งเลียนแบบมาจากปิ่นโตที่ใช้ในวัดอะครับ ลุงเคยเห็นใช่มั้ยครับ ที่มันซ้อนกันเป็นชั้นๆ สีเหลืองครีม แต่เราจะใช้วัสดุที่ดีกว่าทำออกมา ซึ่งเราก็จะขายของเหล่านี้เป็นสิ้นค้าดังของสวนแห่งนี้ เพื่อให้คนที่แวะมาซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก และแน่นอนว่า ผมคิดเอาไว้หมดแล้ว ลุงลองคิดดูสิครับ พอคนซื้อเสื่อกับปิ่นโตไป คนจะเอาไปใช้อะไรนอกจากเอามาปิกนิคกัน ซึ่งแน่นอนว่าคนก็ต้องกลับมาปิกนิคที่นี่ ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้และความนิยมให้กับสวนแห่งนี้ไปในตัว พร้อมกับปลูกฝังค่านิยมใหม่ๆให้คนออกมาปิกนิคกัน ไม่ใช่เอาแต่ไปเดินชอปปิ้งในห้าง อากาศที่นี่ดีกว่าเมืองไทยมาก ผมว่าไอเดียนี้มันต้องเวิกอย่างแน่นอนครับลุง ส่วนคนที่สี่ นี่.... " 

  ทันทีที่ผมหันกลับมามองที่ลุงอีกครั้ง ผมพบตัวเองนั้งอยู่คนเดียว บนโต๊ะยังมีหนังสือพิมพ์ที่ผมเอามากางอยู่ เก้าอี้ที่ลุงนั้งเมื่อตระกี้กลับว่างเปล่า มองหันมองไปรอบๆเพื่อหาลุง แต่ไม่มีแม้แต่วี่แวว 
  
  วันนั้งทั้งวัน ผมนั้งรอ ผมไม่อยากเข้าเรียน ผมไม่รู้สึกหิวหรืออยากกินอะไรทั้งนั้น ทุกๆครึ่งชั่วโมง ผมจะหันไปดูนาฬิกาอีกรอบเพื่อเช็คเวลาและหวังว่าลุงจะกลับมาหาผม แล้วพูดว่า " โทษทีนะพ่อหนุ่ม พอดีเมื่อสักครู่ ลุงต้องไปทำธุระในห้องน่้ำ " แล้วผมจะก็จะขอพรของผมต่อให้จบ แล้วลุงก็จะบันดาลให้ทั้งหมดนั้นเป็นความจริงขึ้นในพริบตา..