สวนสาธาณะนี้ไม่มีชื่อ ผมรู้แต่ว่ามันอยู่ตัดกันระหว่างถนน18 และพอปล่าอวานูย์ สิ่งแรกที่น้าเพ็ญบอกผมตอนที่ผมไปสมัครงาน " น้าว่าแกไปหาที่อื่นทำเถอะหว่ะ ที่นี้มันดูเปลี่ยวๆไงไม่รุ น้าว่า " แต่ผมไม่ได้รู้สึกอย่างกับที่น้าเพ็ญบอก ความรู้สึกแรกตอนที่ผมย่ำเท้าลงบนสนามหญ้า มันเป็นความรู้สึกสบาย ผมชอบอะไรที่มันไม่หวือหวา แค่สวนสาธารณะธรรมดาๆก็เพียงพอสำหรับผม สวนนี้มีขนาดเล็ก ไม่น่าจะเกิน 2ไร่ ต้นพอปล่าที่ขึ้นอยู่ประปราย ทำให้สวนแห่งนี้ดูโล่งและเรียบง่าย(ตอนแรกผมไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไร จนน้าเพ็ญบอก) แสตนขายฮอทด็อกที่ผมจะต้องขายตั้งอยู่ตรงริมทะเลสาปเล็กๆ ตอนสมัยอยู่เมืองไทย ผมเคยทำงานอยู่ร้านขายเสื้อที่สวนจตุจักร สำหรับนักเรียนศิลป์ที่ไม่ได้มีเส้นสายและงบประมาณ การขายเสื้อสกีนที่สวนเป็นการหารายได้ที่เป็นทางออกที่ดี จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ร้านของผม ผมเป็นแค่หุ้นส่วน ที่ผมทำตอนนั้นก็แค่ออกแบบลายเสื้อให้พี่อีกคนที่สนใจ แล้วเข้าไปช่วยนั้งขายบางเวลา แต่ทำได้ประมาณ 4 เดือน ร้านก็ปิดลง " มีแต่คนมาดูแต่ไม่มีคนซื้อ " เป็นประโยคที่พี่เขาบอกกับผม นั้นคืองานเดียวที่ผมเคยทำ
ช่วงสองอาทิตย์แรก ผมตื่นเต้นมากจนถึงที่สุด ต้องทำอาชีพอะไรที่ผมไม่เคยชินแล้วต้องสื่อสารภาษาอังกฤษ การขายฮอทด็อกมันเป็นอะไรที่ฟังดูเท่ในช่วงสองอาทิตย์แรก แต่พอเข้าอาทิตย์ที่สาม ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม เหตุผลนึงอาจจะเป็นเพราะว่าวันๆนึง ผมแทบจะขายมันไม่ได้เลย ขายได้อย่างมากวันนึงไม่เกิน 5 ชิ้น บางทีนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่เขาจ้างผมเข้าทำงาน เพราะว่ามันเป็นงานที่ไม่มีใครอยากทำ แต่อย่างน้อยผมก็ได้หมวกฟรีมาใส่ และแน่นอน แสตนขายฮอทด็อกของผมก็ไม่มีชื่อ " Hotdogs " เป็นคำตัวใหญ่ๆในป้ายที่แปะไว้หน้าร้าน ให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าผมมายืนทำอะไร
ผมอาศัยอยู่กับน้าเพ็ญที่ห้องเช่าเล็กๆตรงแถบตอนเหนือของซีแอตเทิล มันเป็นอพาทเมนต์ 3 ชั้นที่ถ้าเทียบกับเมืองไทยก็ถือว่ามันหรูหรามาก แต่น้าเพ็ญมีความคิดตรงกันข้ามกับผม เธอบอกว่าถ้าเธอมีเงินเยอะๆ เธอจะพาผมย้ายไปจากที่โทรมๆแห่งนี้ อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้แกเลยไปเล่นที่คาสิโนแทบทุกวัน และก็เครียดกลับมาถึงบ้านตลอด นานๆทีผมจะเห็นน้าเพ็ญยิ้ม แต่ส่วนใหญ่เธอจะแสดงสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก ผมไม่คิดว่าเธอเป็นคนเย็นชา แต่ผมรู้สึกได้ว่าเธอมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอซ่อนความรู้สึกเอาไว้ข้างใน
ผมใช้เวลาทั้งคืนนอนคิดถึงสิ่งที่ผมต้องการจะขอ ผมเริ่มต้นด้วยการนอนคิดเล่นๆจนสุดท้ายตัดสินใจลุกขึ้นนั้งบนโต๊ะแล้วบรรจงเขียนหัวข้อต่างๆลงบนกระดาษ ไล่ลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อย ผมจะขอเป็นเงินดีหรือว่าจะขอเป็นสิ่งของ ผมจะขออะไรดี ลุงบอกว่า ขอได้สองข้อ ทำไมต้องสองข้อวะ? ปกติถ้าเป็นในหนังมันจะมีสามข้อซะส่วนใหญ่ อย่างในเรื่องอะลาดินกับตะเกียงวิเศษหรือในหนังฮอลลิวูดที่ผมเคยดู คิดไม่ออก ผมเดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปตรงที่ระเบียง อพาทเมนต์ที่ผมอยู่อยู่ไม่ห่างจากถนนใหญ่มากนัก แต่ตอนนี้ท้องถนนช่างดูเคว้งคว้างและเงียบเชียบ ผมได้ยินเสียงเด็กวัยรุ่นผู้หญิงสองคนคุยอะไรกันอยู่ไกลๆ ตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในห้องนั้งเล่น ผมเห็นน้าเพ็ญนั้งดื่มเบียร์อยู่เงียบๆบนเคาร์เตอร์ ทันทีที่เธอเห็นผมเดินเข้ามา น้าเพ็ญกดรีโมทปิดทีวี ห้องนั้งเล่นกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ผมเดินไปนั้งตรงเก้าอี้ข้างๆ
" น้าเพ็ญเคยขอพรมั้ยครับ? " ผมถามแกแต่แทนที่จะตอบ แกยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม
" เคยดิ " แกตอบแล้วเว้นช่วงหยุดคิด " น้าเคยไปวัดทุกวันอาทิตย์รู้ป่าว " แกตอบ ผมไม่เคยรู้เลย
" กรณ์พึ่งมาอยู่ด้วยกันได้แค่ 2เดือน แต่ก่อนหน้าที่แกจะมา น้าไปวัดทุกวันอาทิตย์เลย น้าจะทำอาหารไปถวายพระแล้วก็ฟังพระท่านเทศน์ " น้าเพ็ญพูดจนจบ
" แล้วอย่างการข้อพรอย่างจริงๆจังๆเนี่ย น้าเคยขอมั้ยครับ แบบว่า.. ขอให้ร่ำรวย หรือให้ได้รถ ได้บ้านไรแบบนี้ " ผมถามต่อ
" ใครๆก็ขอแบบนั้นกันทั้งนั้นแหละ " แกตอบกลับมา
" แล้ว... " ผมพูดต่อ แต่พอยังไม่ทันพูดจนจบ น้าเพ็ญพูดสวนขึ้นมา
" กรณ์อยากได้อะไร ก็ขอไปเลย อย่าไปสนใจว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไง อย่าไปคิดว่า เออ คนไม่ดีเขาจะขอกันแบบนี้ หรือ คนดีๆเขาจะขอแบบนี้ แบบไม่ให้ตัวเองแต่ให้คนอื่นมีความสุข สมหวังอะไร หมาไม่แดกแบบนั้น " แกวางกระป๋องเบียร์แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม
" ขอ..ไป..เลย " แกพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วถอยตัวออกไปกินเบียร์ต่อ
กลับเข้ามาในห้อง ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง แล้วอยู่ดีๆ คำพูดที่วันนี้ มิสเตอร์กิลล์ ผู้จัดการแสตนขายฮอทดอก พูดกับผมมันพุดขึ้นมา อีกประมาณไม่ถึงหนึ่งเดือน สวนสาธารณะแห่งนี้จะต้องปิดลงและคงความไม่มีชื่อแบบนี้ไปตลอดการ ผมยังจำสีหน้าของมิสเตอร์กิลล์ได้ มันเป็นสีหน้าของคนที่ปลงมาแล้วหลายรอบจัดจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกต่อไป ผมตัดสินใจ พรุ่งนี้เช้าผมจะเดินไปหาลุงสมปอง แล้วสิ่งแรกที่ผมจะขอ คือ การเอาชื่อใส่ลงไปในสวนสาธารณะที่ไม่เคยมีชื่อแห่งนี้ แล้วมันต้องไม่ใช่แค่มีชื่อธรรมดาๆ เพราะผมจะขอให้มันมีทั้งชื่อและ "ชื่อเสียง" ไปตลอดการ
No comments:
Post a Comment